Thursday, March 17, 2016

Donate to Unicef

Donating to Unicef

ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนที่จะเกิดมาในสภาพแวดล้อม หรือ บรรยากาศที่ดี มีครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้า มีอาหารที่ดีที่ถูกสุขลัษณะ ได้รับการศึกษาและมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย ในประเทศไทยยังมีเด็กอีกกว่าล้านชีวิตที่เกิดมาประสบกับปัญหาต่างๆ ด้อยซึ่งโอกาสที่จะได้รับการดูแล เนื่องจากการถูกทิ้ง หรือ มีสภาพครอบครัวที่ยากแคลน ไม่มีโอกาสได้เข้ารับการศึกษา ทำให้อนาคตของเด็กเหล่านี้มืดบอด ดังนั้นองค์การยูนิเซฟ จึงอาสาเป็นตัวกลางที่สำคัญ ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือตรงจุดนี้ โดยที่บุคคลทั่วไปเองก็สามารถให้ความร่วมมือได้ในหลายลู่ทางที่องค์การUNICEFเปิดให้บริการ ผ่านทางช่องทางหนึ่งที่สะดวกที่สุดสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาส แต่ขาดซึ่งความรู้ ความสามรถ หรือ ไม่มีเวลาเข้ามาช่วยเหลือเด็กๆได้โดยตรง ท่านสามารถร่วมกิจกรรม Donating to unicef หรือก็คือการบริจาคให้กับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านโดยตรง โดยเชื่อว่านโยบายเหล่านี้ จะนำความเปลี่ยนแปลงกับชีวิตของเด็กๆเหล่านี้อย่างยั่งยืน

 

Donating to Unicef

Donating to unicef

หลายท่านอาจมีคำถามว่าเพราะอะไร เราถึงควรเข้าควรร่วมโครงการ donating to unicef หรือ ก็คือการบริจาคเงินให้กับองค์การยูนิเซฟ และโครงการ donating to unicef มีประโยชน์อย่างไร แตกต่างกับกิจกรรมขององค์กรรายอื่นๆ ที่ก็มีส่วนช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสได้เหมือนกัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นเลยหลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับองค์การยูนิเซฟ มาบ้างแล้ว ไม่ว่าจากการรับฟังข่าวสาร หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ตหรือสื่อโทรศัพท์ องค์การยูนิเซฟ คือโครงการที่ทำงานร่วมกับรัฐบาลไทย ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน กลุ่มเยาวชน ชุมชุนท้องถิ่น และตัวเด็กๆเอง เพื่อส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองสิทธิของเด็กทุกคนในประเทศไทยตั้งแต่อยู่ในครรถ์ของคุณแม่ไปจนกระทั้งเด็กอายุครบ18 ปีโดยสมบูรณ์ แน่นอนว่าองค์การUNICEFไม่ได้มีแค่เพียงเพียงในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว แต่องค์การนี้ยังกระจายครอบคลุมไปอีกหลายๆประเทศทั่วทั้งโลก    

        การช่วยเหลือของคุณ แม้จะเป็นเพียงการช่วยบริจาคเงินเป็นจำนวนเงินเพียงเล็กๆน้อยๆสำหรับท่าน แต่เชื่อเถิดค่ะว่า จำนวนเงินของท่านสามารถเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบของเด็กผู้ด้อยโอกาสให้กลับมาส่องสว่าง ราวกับจุดไฟให้กับอนาคตของพวกเขาอีกครั้ง องค์การUNICEF เปิดรับบริจาคเป็นสองแบบด้วยกัน นั้นคือ

  1. ร่วมบริจาคแบบรายเดือน

โดยการเข้าไปในเว็บไซต์ของ donating to unicef ของUNICEFโดยตรง ตัวเว็บไซต์จะมีให้ท่านเลือกว่าต่อเดือนท่านสามารถบริจาคเป็นจำนวนเงินได้ตั้งแต่ 600 บาท, ห้าร้อยบาท, 400 บาท, หรือท่านอาจจะต้องการที่จะระบุจำนวนเงินที่จะบริจาคเอง

  1. ร่วมบริจาคเป็นรายครั้ง

โดยการเข้าไปในเว็บไซต์ของ donating to unicef แล้ว เมื่อท่านเลือกบริจาคแบบเป็นรายครั้ง ท่านจะเลือกบริจาคได้ตั้งแต่ 3000 บาท, 2000 บาท, 1000 บาท, หรือว่าท่านต้องการจะระบุจำนวนเงินที่จะบริจาคด้วยตัวเองก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ

 

หรือหากบางท่านที่มีความประสงค์ที่จะบริจาคแต่ไม่ค่อยทราบเรื่องอินเตอร์เน็ตและระบบออนไลน์ ท่านสามารถบริจาคผ่านทางธนาคาร ชื่อบัญชี องค์การยูนิเซฟ หรือ ท่านสามารถบริจาคผ่านบัตรเครดิตได้โดยผ่านตู้ATM, หรือบริจาคผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสใน7-11ทุกสาขา และหลังจากท่านได้ทำงานบริจาคเสร็จเรียบร้อย อย่าลืมที่จะกรอกแบบฟอร์มยืนยันว่าท่านได้ทำการบริจาคแล้วด้วยนะคะ

        มาถึงตรงนี้ หลายๆท่านอาจจะยังคงสงสัยอยู่ว่า นอกจากเราจะช่วยเหลือเด็กเป็นรายครั้งแล้ว เหตุใดการบริจาคแบบรายเดือนถึงเป็นเรื่องที่ดี

 

donating to unicef

Donating to unicef

สิ่งสำคัญเลย ประโยชน์ที่ได้จากการบริจาคของท่านก็คือ องค์กรจะมีเงินทุนสำหรับการทำงานเหล่านี้ต่อไป โดยการทำงานของUNICEFตามที่กล่าวไปตอนต้นคือ การช่วยเหลือเด็กทุกคนตั้งแต่ช่วงที่ยังอยู่ในครรภ์ของมารดาไปจนถึงอายุ 18 ปี (ตามกฏหมายของสิทธิเด็ก) โดยเน้นการให้เด็กด้อยโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี การเป็นอยู่ที่ดี การคุ้มครองเด็กในเรื่องต่าง และเอชไอวี/เอดส์ การบริจาครายเดือนจึงทำให้การช่วยเหลือเด็กๆเหล่านี้ไม่ขาดตอน

        เงินทุกบาททุกสตางค์ มีส่วนช่วยให้องค์การUNICEFมีเงินทุนเพิ่มมาก มีค่าใช้จ่ายที่น้อยลง เนื่องจากองค์การยูนิเซฟเป็นองค์การที่ร่วมกันกับรัฐบาล แต่เป็นองค์กรที่เอกชนเป็นคนก่อตั้งขึ้น ดังนั้นเงินทุนโดนส่วนใหญ่ที่องค์การได้รับจะมาจากการบริจาคแทบทั้งสิ้น เมื่อท่านบริจาค องค์การยูนิเซฟจะมีเงินทุนสำหรับค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารงานและมีเงินในการช่วยเหลือเด็กๆมากขึ้น เนื่องจาก85%ของเงินบริจาคจะถูกใช้สำหรับการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ท่านจะได้คืนจากร่วมกิจกรรม donating to unicef เพื่อสนับสนุนการทำงานขององค์การUNICEF ก็คือความภาคภูมิใจที่ท่านได้มีส่วนช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับชีวิตของเด็กๆทั้งนี้ท่านยังได้รับข่าวการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับdonating to unicef ว่าการเงินบริจาคของท่านได้ใช้เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสอย่างไรบ้าง และ หลังจากการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ท่านยังสามารถนำใบเสร็จการบริจาคไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย 

        บริจาคเงินในวันนี้ เพื่อมอบชีวิตใหม่และอนาคตที่สดใสให้แก่เด็กๆ ยังมีเด็กอีกนับล้านคนที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ครอบครัวขาดแคลนทุนทรัพย์ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้รับการเรียบรู้ กำลังเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือ UNICEFเป็นผู้นำองค์กรการกุศลที่ทำการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กเหล่านี้โดยเฉพาะ ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศทั่วโลก มากว่า 65 ปี การทำงานขององค์การUNICEF เป็นแนวทางที่ได้รับการพิจารณาและพิสูจน์แล้วว่า มีต้นทุนต่ำในการดำเนินงาน ซึ่งนำไปสู่การช่วยเหลือเด็ก และ เปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กทุกคน โดยไม่ได้คำนึงถึงฐานะ เชื้อชาติ หรือ ถิ่นที่อยู่ของเด็ก ๆ



ขอบคุณบทความจาก : https://www.unicef.or.th/supportus/other/why-donate-unicef

อุปการะเด็กกำพร้า ซักคนเพื่อ สร้างรอยยิ้มที่สดใสให้โลกใบนี้

อุปการะเด็กกำพร้า

อุปการะเด็กกำพร้า ซักคน ไม่ใช่คือเรื่องลำบากมากมาย เพียงเราเปิดใจรับเด็กซักคนหนึ่ง ผมเท่าตรึกตรองว่า เขาคือมิตรสหายร่วมโลก ของกระผม พวกเขาทั้งหลายไม่รับจังหวะเช่น ดีฉัน ไร้จังหวะดีๆไร้ พ่อ ขัดสนแม่ ปราศจากอาคารบ้านเรือน เขาจำเป็นการคนดูแล เขาก็ดุจเราที่พึงประสงค์ ญาติโกโหติกา ความชอบพอ ความอบอุ่น เหมือน พร้อมด้วยฉัน แค่นี้ก็น่าจะคือสาเหตุพอเพียงที่กระผมจะ อุปการเด็กกำพร้า ซักคนหนึ่ง

 <b>อุปการะเด็กกำพร้า</b>

อุปการะเด็กกำพร้า

จากสถิติพบว่า เด็กถูกไม่ไยดีถึงวันละ สิบห้า - 20 คน พร้อมทั้งจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ตามโลกเวลา ไซเบอร์ ที่ล่าสุด แต่กลับการงานการอบรมเลี้ยงดูเยาวชนลูกกำพร้าเหล่านี้พลิกผันจืดจาง สถานรับเลี้ยงผู้เยาว์ต่าง ต่าง ประกอบด้วยลูกกำพร้าจำนวนรวมเกินการที่ พี่เลี้ยงที่จะดูแล ทั้งสถานที่มิเพียงพอ มีความแน่น ลำบากของ และ ไม่ได้ยอมรับการดูแลรักษามีน้ำใจอย่างดีจาก ผู้เลี้ยง จากเว้นวรรคหลายหลายทางที่มี ทั้ง การล่อ ผู้เยาว์กำพร้าไปขายต่อยังต่างด้าว การ เกื้อกูลผู้เยาว์เพื่อให้ไปใช้ผู้ใช้แรงงาน การสวมสิทธิ์บิดา ท้ายที่สุดของสถานที่อนุเคราะห์เด็กกำพร้า คือ หลังวัย 18 ปี ไปแล้ว เด็ก โตมา ด้วยพ้นไปความรู้สึกคิดคิดดู ผิดชอบชั่วดี  พร้อมกับ ทีหลัง ก็จะเวียนวนมาเป็น วัฎจักรตอนแรกคือ เยาวชนลูกกำพร้า ถูกทอดทิ้ง  จากลูกกำพร้า คนที่แล้วที่เคยเป็น เกี่ยวข้องจาก ในทางกฎหมายประเทศไทย ทันทีที่ วัย สิบแปด ปี แล้ว จำเป็นผ่านพ้นของสถานที่อนุเคราะห์ นั้น นั้น มันจึงเป็น วัฎจักร เดิม เดิม กับเด็กกำพร้าที่ มิได้ยอมรับการ อุดหนุน ใครดวงดีก็ได้มีอยู่กับวงศ์วานซึ่งเจริญ ใครดวงไม่ดี ก็ ลำบาก

อุปการะเด็กกำพร้า ที่ปัจจุบัน หามิได้คือเรื่องราวลำบากลำบน แห่งไทย ครอบครัวฉัตรบริรักษ์  พร้อมทั้ง น้องวันใหม่ ฉัตรบริรักษ์ น้องหญิงคนเอี่ยม ของ บอย ปกรณ์ คือแบบที่มองเห็นกันได้ ข้างในเนื้อความ อุปการะเด็กกำพร้า

ส่วนในที่ต่างประเทศ มีหลากหลายเรื่อง ตัวอย่างเช่น

ความ วูดดี อัลเลน  ผู้กำกับภาพยนตร์อเมริกัน เป็นและคนเขียนบท ผู้แสดง และดาราตลก มีอยู่งานยอดเยี่ยมหลาย ๆเรื่องราว วูดดี อัลเลน 

ใช้ชีวิตคู่อยู่กับ มีอา ฟาร์โรว์ และคู่ อุปการะเด็กกำพร้า เป็นลูกเลี้ยงไว้หลายคนทีเดียว หลังจากนั้น วูดดี อัลเลน  กอบด้วยความเกี่ยวเนื่องพร้อมกับ ซุน - ยี เพรวิน ลูก เลี้ยงดู ชาวเกาหลี สิ่งของเขา เอง

มาดู ดารา ฮอลลีวูด คนอื่น อื่น ที่ อุปการะเด็กกำพร้า กัน

เจ้าแม่เพลง pop มาดอนน่า อุปการะเด็กกำพร้า ที่แว่นแคว้นมาลาวี ในทวีป แอฟริการับมาเป็นลูกบุญธรรม 

ชารอน สโตน อุปการะ เด็กหนุ่มมา สาม คน  โรแอน โจเซฟฟ์ บรอนสไตน์,ควิน เคลลี่ และ เลิร์ด วอนน์ สโตน 

แซนดร้า บูลล็อค  อุปการะเด็กกำพร้า ที่นิวออลีนส์มาคือบุตรบุญธรรม โดยชื่อว่า หลุยส์ บาร์โด บูลล็อค

ฮิวจ์ แจ็คแมน อุปการะเด็กกำพร้า 2 คน คือ ออสการ์ แม็กซิมิลเลียน และ เอวา เอเลียต

แคเธอรีน ไฮเกล อุปการะเด็กกำพร้า ชาวประเทศเกาหลีใต้ แนนซี่ ลีห์ ลูกผู้ซึ่งมีปมปัญหาทางพวกหัวใจ

ที่ปัจจุบัน การจะ อุปการะเด็กกำพร้า ซักคน คือเรื่องราวไม่ยากมากหลาย แค่ เรามั่นใจว่า พร้อมทั้ง ที่จะประดัง เอาใจใส่ใครซักคน เพียงนี้ก็สนับสนุนลบล้างความความยากจนและความสิ้นหวัง ของบรรดา เด็กกำพร้า ไปได้มากหลาย แล้ว ข้าพเจ้าจักคิดว่า ทุกวันนี้ ประกอบด้วยมูลนิธิ พร้อมทั้ง สมาพันธ์ต่าง ๆ เกิด ขึ้นเหลือแสน  ดังเช่น

มูลนิธิสงเคราะห์เด็กยากจน ซี.ซี.เอฟ.ฯ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่กำเนิดมาจากองค์กร ซี.ซี.เอฟ.สากล ส่งให้ความเจือจุนผู้เยาว์ ที่ด้อยโอกาส

สถานสงเคราะห์สงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทยซึ่งจัดแจงตั้งขึ้นโดยพระ ราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านบางละมุง กับ สถานอาชีวบุคคลวัยรุ่น ส่งให้กรณีอุดหนุนเด็กผู้ชายซึ่งมีวัยระหว่าง เจ็ด - 18 ปี สำนักงานในที่สังกัดสำนักป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้าหญิงและเด็ก (ส.ป.ป.) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ

มูลนิธิ/สมาคมสงเคราะห์เด็กกำพร้า แห่งประเทศไทยรับผู้เยาว์ลูกกำพร้า กับลูกด้อยโอกาสอายุ ตั้งแต่ สอง - 8 ปี พร้อมด้วยเลี้ยงจนทั้งๆ ที่วัย 18 ปี

มูลนิธิสันติสุข หรือ บ้านสันติสุข ให้การหนุนหลังและทะนุถนอมเด็กคับแค้นไร้ที่พึ่ง พร้อมทั้งผู้เยาว์ด้อยโอกาสทางการเรียนรู้ วงศ์วานที่แตกแยก ถูกทิ้ง พร้อมด้วยญาติพี่น้องที่ประกอบด้วยรายรับน้อย

องค์การยูนิเซฟ ส่งให้ความช่วยเหลือ สงเคราะห์  แห่งการเอาใจใส่เรื่องพลานามัย การศึกษา ความเท่ากัน และการป้องกัน เด็กด้อยโอกาสภายใต้สนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

            อุปการะเด็กกำพร้า ซักคนหนึ่ง ไม่ใช่ข้อความยากเข็ญผมอย่าสังเกตเพียงแค่ รู้สึกสงสาร เด็กกำพร้า กับ มองผ่านไป ลองก้าวเดินเข้าไป ติดต่อสอบถาม จะเห็นว่าขั้นตอนต่างต่าง มิได้ซับซ้อน เฉพาะ ตามนิติแล้วข้าพเจ้าไม่อาจจะ คัดเลือกว่าจะรับผู้เยาว์คนไหนมี ทำได้รับเท่านั้น แจ้งว่า อยาก รับ เยาวชนเพศไหน ช่วงเวลาวัยเท่าใด เพื่อจะเป็นการคุ้มกัน การนำผู้เยาว์หน้าตาน่ารัก กับหน้าตาดี ไปออกตัวต่อ ให้บรรดาคนมั่งคั่ง ซึ่งใคร่ได้ประกอบด้วยเด็ก  ส่วน มูลนิธิ หรือสถานสงเคราะห์ ก็จะตรวจดูข้อมูลของฉันน้อย ว่ามีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงจะไม่ละทิ้งเด็กกำพร้า พร้อมกับจะวิเคราะห์ ว่า เราจะ เลี้ยงดูผู้เยาว์กำพร้าจริงหรือเปล่า  สำหรับหากผม อุปการะเด็กกำพร้า แล้วไม่เอาธุระ หรือชี้ทางค้าต่อ นำไปทรมาน กับใช้กรรมกร ผู้รับ อุปการะเด็กกำพร้า หลาย หลาย ราย ซ่อนมาเป็นผู้ อุปการะเด็กกำพร้า แต่แต่นำ ผู้เยาว์กำพร้า ไปหาทางประโยชน์พาไปทำการค้าดาม  ประทุษร้าย หรือใช้พลังงานผู้เยาว์ กับแม้กระทั่ง การสวมสิทธิ์ ตั้งแต่ ลูกยังไม่คลอด ที่ การสวมสิทธิ์นี้ จักมีการทำกันโดย มีความร่วมมือกันทั้ง 3 ฝ่ายคือ แม่ หมอ บิดาผู้สวมสิทธิ์ ด้วยความสมยอมสิ่งของ คุณแม่ลูกที่ คงเกิดจาก แม่เด็กไร้ความพร้อม กับ มารดาลูก ไม่มีรายรับ ตระกูล ปฏิเสธ ซึ่งคำถามกลุ่มนี้ หาก ได้ คุณพ่อผู้สวมสิทธิ์ ที่รักเด็กกับมุ่งหมายตัวลูกจริง จริง ผลดีก็จะเกิด และ เด็ก แต่หาก แม่ผู้เยาว์ ใคร่ได้แค่เงิน กับ หลอกๆ พ่อผู้สวมสิทธิ์  หลาย หลายคน จนลงท้ายไม่มีพ่อผู้ ให้เด็ก จริง ลูก จากที่ น่ามี พ่อ มารดาดูแล ก็จะกลับกลาย เยาวชนลูกกำพร้า พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลง ภาระ สังคมต่อไป

ในทุกวันนี้สภาพ เด็กลูกกำพร้า ขาดซึ่งความรัก การเอาใจใส่และความรู้ความเข้าใจ ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ บั่นทอนทั้งช่องทางของพวกเขา และ ภาร ของเข้าสังคม การควบคุม ให้การหาความรู้แก่เด็กกำพร้าเป็นภาระที่ทุกคนควรรับผิดชอบร่วมกัน ในประจุบัน ประเทศไทยประสบปัญหาลูกลูกกำพร้า ขาดตลาดปัจจัยพื้นฐาน ตลอดจนไม่รับการ เล่าเรียน เกิดเด็กกำพร้า เร่ร่อน คำถามลูกกำพร้าถูกส่งไปออกตัวพลังงาน หรือถูกล่อลวงให้ ค้าประเวณี

โดยสรุปข้อสงสัยเยาวชนกำพร้า สาเหตุหลัก จริง จริง คือ ครอบครัว หากสกุลวางใจ พร้อมทั้งเปิดโอกาส หนุ่มสาวได้มากว่านี้ ข้อสงสัยผู้เยาว์ลูกกำพร้าคงจะลดน้อยลง หลาย ๆตระกูล อุปการะเด็กกำพร้า ไปแล้ว ก็มิได้อุปการะ ใฝ่ใจให้ดี ตอนท้าย ผู้เยาว์ มิเรียนรายงาน ปริศนาผู้เยาว์ลูกกำพร้า ออกจากสถานศึกษากลางคัน พบได้หนาตาในภาคเหนือและภาคอีสาน  ซึ่งจากค่านิยมตำบลที่ผิด ๆ  การให้เด็กที่ขัดสนคุณลักษณะทาง โภชนาการของพ่อแม่ ผู้เยาว์กำพร้าจึงเป็น ผู้เยาว์ลูกกำพร้าต่อ ถึงแม้ จะมี พ่อ แม่ ค้ำชู ก็ตามที



ที่มา : https://www.unicef.or.th/supportus/th

Wednesday, March 16, 2016

บริจาคเงินกับยูนิเซฟ บริจาคเพื่อใคร

บริจาคเงินกับยูนิเซฟ

บริจาคเงินกับยูนิเซฟ หากเสนอคำถามใครซักคนว่าเคยบริจาคบ้าง ก็คงจะมีบุคคลฝ่ายข้างน้อยที่สนับสนุนขานรับว่าได้เคยบริจาคมาแล้ว ยูนิเซฟ องค์กรการกุศลลำดับที่ 315 ตามหมายประกาศกระทรวงการคลังที่ติดตั้งขึ้นมาจากจุดหมายที่จะลดปมปัญหาผู้เยาว์เริ่มมาเมื่อ 50 ปีที่แล้วที่สงครามโลกเงียบสงบลงเนื่องจากภาวะอดอยาก โรคระบาดที่แผ่ขยายทำลายชีวิต เยาวชน กับครัวเรือนที่ไม่รู่อิโหน่อิเหน่เหลือหลายแยะ  จากการบริจาคเงินกับยูนิเซฟ  ที่ผ่านมา  ศกนี้ก็ครบปีที่ห้าสิบแล้วที่ ยูนิเซฟ ได้เข้าไป หนุนหลัง งานต่างๆที่เกี่ยว กับผู้เยาว์ ถ้าไม่รับการสละ จากทั่วทุกมุมโลก Unicef  คงอยู่ไม่ได้ยาวเหยียดนานเพียงนี้  หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดเราต้อง บริจาคเงินกับยูนิเซฟ ก็สำหรับ Unicef ไม่แค่เพียงตั้งองค์กรมาหรูๆ แต่ยูนิเซฟ มีภารกิจเป็นอย่างมากที่ต้อง ดูแลรับผิดชอบ ทรัพย์สินบริจาคมิใช่แค่ก้าวเข้าสู่กองทุน ของUnicef แต่มันได้ขยายไปสู่ เด็ก พื้นที่ห่างไกล เพื่อให้การช่วยเหลือกับเยาวชนที่ทุกข์ร้อนอย่างกว้างขวางซึ่งเงินบริจาค ประมาณ แปดสิบห้า % จะถูกส่งไปทะนุถนอมเยาวชน  ต่อหน้า ส่วนเงินทองที่หลงเหลือ สิบห้า % จะเป็นไปเพื่อการจัดการระดมทุน เพื่อหาเงินสนับสนุนต่อไป

 

บริจาคเงินกับยูนิเซฟ

บริจาคเงินกับยูนิเซฟ

ยูนิเซฟได้มีการชี้ชวนบุคคลทั่วไปเข้าบริจาคสตางค์อนุเคราะห์โครงการต่าง ๆ ของUnicefซึ่งอาจจะเสียสละได้หลาย ๆทาง ได้แก่ 

 สละผ่านทางสื่อ ออนไลน์ โดยวิธีการการนี้ เป็นแบบที่สบาย สะดวก พร้อมทั้งมั่นคงเป็นยอดด้วยเหตุที่มี ระบบการตกลงมาตรฐานความปลอดภัยในการจัดส่งข้อมูลโดย องค์กร Synmantec ผมจึงปักใจได้ว่าเงินทองที่ได้บริจาคจะส่งไปถึงมือ Unicef ถึงมือ เด็กจริง ๆ ซึ่งทางนี้จำต้องต้องมีบัตรเครดิตเพื่อให้ใช้ในการหักบัญชีในแต่ละเดือน ซึ่งมีรูปแบบอยู่ สอง แบบคือ

การเสียสละรายเดือนจะมีวงเงินในการบริจาค 4 ยอดเงินคือ  หกร้อย,ห้าร้อย,สี่ร้อย บาท กับ ระบุจำนวนเงิน ต่อเดือน

การบริจาครายครั้งจะมีวงเงินในการสละ 4 ยอดเงินคือ  3000 ,สองพัน ,1000 บาท กับ ระบุจำนวนเงิน ต่อครั้ง ก็ได้

หรือดิฉันสามารถดาวน์โหลดแบบพิมพ์ กับส่งกลับไปยังUnicef ซึ่งอาจคืนไปได้ที่ Email psfrbangkok@unicef.org  กับคืนไปแบบแหล่งตามแบบแบบฟอร์มก็ได้

เสียสละผ่านจดหมาย การแจกเช่นนี้ ยูนิเซฟจะส่งหนังสือถึงผู้ที่เคยบริจาค หรือเคยติดต่อสื่อสาร ยูนิเซฟโดยตรง กับเป็นการส่งจดหมายหาองค์กรต่าง ๆเพื่อให้คนในองค์กรนั้นได้มีส่วนร่วมในการ บริจาคเงินกับยูนิเซฟ

เสียสละผ่านคนแทน การแจกเงินกับกองทุนฉุกเฉินสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติยังงี้จะกระทำผ่านคนกลางของกองทุนฉุกเฉินสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติซึ่งจะระดมทุนด้วยการให้คนกลางพบผู้เสียสละต่อหน้าเช่น อาคารสำนักงาน แหล่งชุมชน โดยคนกลางจะเข้าชี้ชวน บริจาคเงินกับยูนิเซฟ ในแบบแผนสละเงินตราแบบตัดผ่านบัญชีบัตรเครดิต

ขอรับสละทางโทรศัพท์ Unicefจะมีการติดต่อสื่อสารไปยังที่ทำงานต่าง ๆสำหรับขอรับสละให้กับหน่วยงาน โดยการขอรับเสียสละแบบนี้จะใช้การตัดบัตรเครดิตเป็นรอบ ๆ ไป

 หรือหากใครอยากได้เสียสละเป็นรอบ ๆ ไปอาจจะโอนเงินตรามาถึง กองทุนฉุกเฉินสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติโดยตรงได้ ซึ่งวิธีการนี้จะสะดวกสบายกับคนที่ไม่อยากมีภาระผูกพัน เนื่องจากว่าการบริจาคตัดผ่านบัตรเครดิตที่คนกลางระดมทุนทำจะเลิกล้มได้ค่อนข้างยากลำบาก กับการจัดการชักช้ามาก ซึ่งบางคนก็เจอะปมปัญหาทางด้านการเงิน ต้องต้องขอล้มเลิกแต่อาจช้าไม่ทันใจ การให้ โดยการโอนเงินต่อหน้าเข้าสู่ Unicefโดยตรงน่าจะเป็นวิธีการที่ดีกว่า ซึ่งบ/ชของทาง กองทุนฉุกเฉินสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติมีอยู่หลายบัญชีคือ

บัญชีแบงค์กสิกรไทย บัญชีกระแสรายวัน สาขาบางลำพู เลขที่ 008-1-09766-6

บัญชีแบงก์กรุงศรีอยุธยา บ/ชกระแสรายวัน สาขาบางลำพู เลขที่ 011-0-06153-6

บัญชีแบงก์ไทยพาณิชย์ บัญชีกระแสรายวัน สาขาบางลำพู เลขที่ 003-3-10443-3

บัญชีแบงค์กรุงไทย บ/ชกระแสรายวัน สาขาบางลำพู เลขที่ 167-6-00662-1

สมุดบัญชีธนาคารกรุงเทพ บ/ชกระแสรายวัน สาขาสำนักงานก.พ.เลขที่ 201-3-01324-4

หากใครอยากใช้ทานเงินเพื่อนำไปลดหย่อนภาษีอากร สามารถขอเอกสารใบกำกับภาษีได้โดยส่งสิ่งพิมพ์เอกสารสำคัญการโอนเงิน fax ไปที่เบอร์ 02-356-9229 , 02-281-6033 ด้วยวงเล็บว่า “O0015” เพื่อทางยูนิเซฟจะได้ส่งเอกสารให้ท่านนำไปลดภาษีอากรได้

มากท่านอาจมีคำถามว่า แล้วเหตุเดิมสิ่งไรที่ข้าพเจ้าจำต้องสละให้Unicef เพราะด้วยเงินทุนที่ใช้ในโปรเจ็คของยูนิเซฟได้มาที่การให้ในฝ่ายเดียวหากมิได้ยอมรับเงินทองค้ำจุน การดำเนินการต่าง ๆก็ทำได้ลำบากลำบนยิ่งขึ้นจำเป็นจะต้องต้องได้รับเงินบริจาค ซึ่งเงินสนับสนุนส่วนใหญ่ก็จะได้รับมาจากภายในประเทศเป็นสำคัญเพื่อช่วยเคลื่อนหน่วยงานให้ปฏิบัติการได้อย่างสม่ำเสมอและสำหรับเป็นการอุดหนุน การกลายให้ชีวิตเด็กๆได้มีคุณภาพที่ดีขึ้น แต่หากเงินเอาใจช่วยภายในประเทศพอเพียงกับความสมหวังแล้วก็จะนำเงินตราส่วนที่มากเกินไปเกื้อหนุนยังประเทศด้อยพัฒนาอื่นๆด้วย คนรับบริจาคก็ไม่ต้องกังวลใจ คนให้ก็ได้ความเพลิดเพลินใจ แต่เพื่อคนที่ต้องเสียภาษีอากรการที่เรานำทรัพย์สินไปสละเงินตราส่วนนี้ก็จะกลับมาสู่ดีฉันในแบบ เงินหักลดก่อนเสียภาษี ซึ่งสามารถลดได้ เท่ากับปริมาณทรัพย์สินที่ต้องจ่ายจริงแต่ไม่เกินเปอร์เซ็นต์ สิบ ของเงินตราได้ภายหลังหักค่าใช้สอยพร้อมกับการหักค่าลดหย่อนต่าง ๆแล้ว เห็นกับเปล่าว่าการบริจาคก็คือการได้สตางค์กลับ เงินก็ไม่ไปไหน ซึ่งบางคนก็คิดว่า จะสละกันไปเพราะอะไร ไม่เห็นจะได้ประโยชน์ หากแม้มันจะเปล่าๆจริง ๆ แต่เมื่อท้ายที่สุดแล้วมันก็หมุนกลับมาในรูปภาษีอากรอยู่ดี ถึงแม้ใครมิได้รับประโยชน์ แต่เป็นอย่างน้อยที่สุดก็ได้ทำให้ดีฉันได้พอใจซักเล็กน้อยจริงๆ

สำหรับใครที่บริจาคเงินกับยูนิเซฟแล้วประสงค์เลิกกับไม่พร้อมกับการเสียสละสตางค์ต่อเป็นได้มีภาระเพิ่ม กับไม่ถนัดใจหรือด้วยเหตุใดก็ตามฉันสามารถแจ้ง เลิก หนทางติดต่อผ่านทางEmailที่ psfrbangkok@unicef.org กับ โทรศัพท์ 02-356-9299 เพื่อขอเลิกล้มบริจาคเงินกับยูนิเซฟ



เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : https://www.unicef.or.th/supportus/th

รับอุปการะเด็กกำพร้า เพื่อชีวิตที่สดใส ร่วมสร้างอนาคต ให้เด็กกำพร้า ร่วมกัน รับอุปการะเด็กกำพร้า

รับอุปการะเด็กกำพร้า

ปัจจุบัน คำถาม ลูกกำพร้า ได้แปรไปเป็นปมปัญหา ระดับชาติ ไปแล้ว เนื่องจากว่า ต้นเหตุ หลาย ๆ ชนิด อย่างเช่น ชายหนุ่ม หญิง มีหน้าที่ ไม่สามารถรับผิดชอบลูกชายลูกหญิงได้ ธุระทางแวดวงไม่อาจแสดงตัวได้ ขาดคน อุปถัมภ์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำเอาเกิด ข้อสงสัย ลูกกำพร้า ขึ้นเหลือล้น   เราจะเจอะว่ามีประกาศ ในใจความสำคัญ ผู้เยาว์ลูกกำพร้า การละเลยเด็ก การ รับอุปการะเด็กกำพร้า ให้เห็น ไม่หยุดแม้แต่ละวัน  เค้ามูล หลัก ๆ ที่กำเหนิดเยาวชนกำพร้า เกิดของการขาดความรับผิดชอบ สิ่งของบิดามารดาผู้เยาว์เป็น เอ้ ประกอบพร้อมทั้ง ความไม่พร้อมของบุรพาจารย์, สกุล รวมกระทั่งถึง คนใกล้ชิดของบิดามารดาลูกเอง ที่คือตัวแปรทำให้เกิด เยาวชนกำพร้า เหล่านี้ขึ้น จากสถิติที่น่าขวัญเสีย กระผมพบว่ากึ่งของสมาชิกทั้งโลกที่พักพิงอยู่บนโลก ใบ เล็ก ๆ ใบนี้ เข้าอยู่ในความยากแค้น  เยาวชน พร้อมกับ วงศ์วาน แตะต้องดิ้​​นรนปะทะต่อสู้เพื่อให้ความรอดตาย การทอดทิ้งลูก การละเมิด  ,ทิ้ง,เกียดกัน หรือ แม้กว่าการล่วงละเมิดทางเพศ พร้อมกับ ลูก ก็เกิด ขึ้น และมีให้เห็นบ่อย ๆ  ในทางกลับตาลปัตร ปัญหา ผู้เยาว์กำพร้า ก็เกิดขึ้นมาโดยตรง กับ สาเหตุ ที่ปรากฎว่าความ “ ยากจน “  ด้วยอธิกรณ์นี้ เราจึงเจอ มูลนิธิต่าง ๆ ออกมา อ้อนวอนความประสาน ในการ รับอุปการะเด็กกำพร้า อย่างมาก

รับอุปการะเด็กกำพร้า

รับอุปการะเด็กกำพร้า

คำถาม ผู้เยาว์ลูกกำพร้า ล่าสุดได้ถูกทอดทิ้ง พร้อมกับนับวันจะกลับกลายคือคำถามยืดเยื้อ ทุแก่การเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งวิเคราะห์จากสถานีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม หน่วยงานในสังกัด กรมพัฒนาสังคม และ สวัสดิการ  กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเฝ้ารอเป็นทางเลือก จัดการปัญหา ในการ รับอุปการะเด็กกำพร้า ซึ่งดีฉันจะเห็นว่าช่วงปัจจุบัน มีการนำลูก ของการ ไปจับมาจาก ที่พักอาศัยเยาวชนต่าง ๆ ออกมา ทำทำร้าย หรือใช้กำลังแรงงานเด็ก หรือหยิบยกไปแลกเปลี่ยนต่อให้ คนมีสตางค์ และภายใน กับ นอกประเทศชาติ เพื่อสืบหาทางได้ของเยาวชนลูกกำพร้า

รับอุปการะเด็กกำพร้า หรือ การรับลูกลูกกำพร้า  ที่เป็นบุตรของบุคคลอื่นรับมาเอาอกเอาใจ อาจพบพบได้ในสังคมไทยรับมานาน เช่น รับอุปการะเด็กกำพร้า จาก ครอบครัว สกุล กับคนที่รู้จักใกล้ชิด กันดี แต่ขาดแคลนเงินทุน

 

       การ รับอุปการะเด็กกำพร้า ตามนิติเริ่มมีขึ้นทันทีที่มี การป่าวประกาศใช้ประมวลกฎปฏิบัติแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2477 ซึ่งออกกฎให้จงมีการจดระเบียน ตามพระราชบัญญัติ จดบัญชีรายชื่อครอบครัว ในปี พ.ศ. 2478

     ใน   พ.ศ. 2508 กรมประชาสงเคราะห์ ได้ ดำเนินการตระเตรียมหาจัดญาติโกโหติกา ที่ อุปการะเด็กกำพร้า ที่ โดนเพิกเฉย โดยมีการออก เป็นหลักเกณฑ์ กรมประชาสงเคราะห์ ว่าด้วยการสนับสนุนผู้เยาว์กำพร้า โดยวิธีหาผู้อุปการะส่งให้แก่เยาวชนลูกกำพร้า แม้กระนั้นการดำเนินงานดังที่กล่าวมาแล้วก็ยังแคบอยู่เฉพาะเจาะจงลูกลูกกำพร้า แค่ในความคุณของกรมประชาสงเคราะห์เท่านั้น พร้อมกับ ในตอนนั้นยังไม่มีการขีดเส้นให้สถานี สถานพยาบาล หรือ สถานสงเคราะห์ ที่มีลูกลูกกำพร้า ถูกเพิกเฉยจะต้องส่งผู้เยาว์ให้กรมประชาสงเคราะห์ พร้อมด้วยขัดสนนิติกับองค์กรเฉพาะที่ปฏิบัติภาระสั่งงานป้องกันงานด้านการ รับอุปการะเด็กกำพร้า จึงเกิดระยะมอบให้มีอยู่การสืบประโยชน์จากเด็กกำพร้ากลุ่มนี้ ที่พบในรูปแบบของการรับผู้เยาว์เป็นลูกหลาน ราวปี พ.ศ.2519 - 20 มีการซื้อขายลูกลูกกำพร้าให้กับคนต่างด้าวเป็นปริมาณมาก จึงได้มี  มาตรการป้องกันการ การ รับอุปการะเด็กกำพร้า

โดย ห้ามร.พ. สถานพยาบาล หรือ มูลนิธิ ต่างๆ ยกลูกลูกกำพร้าให้แก่คนใดไปเอาอกเอาใจหรือรับไปเป็นกุลบุตรบุญธรรม ต่อมามีการจัดตั้ง "ศูนย์อำนวยการรับบุตรบุญธรรม" และมีการร่างกฎปฏิบัติเฉพาะออกมาเรียกว่า พ.ร.บ.การรับผู้เยาว์เป็นลูกเลี้ยง เป็น "ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม" จนปัจจุบัน ซึงนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การรับลูกเป็นลูกบุญธรรมไม่ว่าผู้เยาว์นั้นจะเป็นผู้เยาว์มี พ่อ แม่ กับลูกลูกกำพร้าถูกทอดทิ้ง ต้องดำเนินการภายใต้ข้อจด ของพ.ร.บ.การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมทุกประการ

 รับอุปการะเด็กกำพร้า

       ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมนั้นประกอบด้วยภาระหน้าที่รับผิดชอบในการส่งให้บริการด้านการทำงานสวัสดิการเด็กโดยการ

หาตระกูลตอบแทน ให้กับลูกกำพร้า กับเด็กที่ พ่อ แม่ ไม่สามารถส่งให้การคุณชุบเลี้ยงผู้เยาว์ได้ และผู้เยาว์ที่มีกฎศาลยุติธรรมแทนการให้ความยอมตามของพ่อแม่ลูก โดยปฏิบัติตามพ.ร.บ.การยอมรับเด็กคือลูกเลี้ยง และต้องดำเนินการแบบกระบวนการของข้อบังคับอย่างถูกต้อง

โดยจะต้องยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อหาพี่น้องที่เหมาะเจาะในการปฏิบัติภารกิจเป็นพ่อแม่ส่งให้แก่เยาวชน เพื่อให้เด็กได้มีความก้าวหน้าที่ดีทั้งทางด้านร่างกาย ความรู้สึก อารมณ์ และเข้าสังคม รวมทั้งให้การหาความรู้ เพื่อให้มีชีวิตเป็นบุคคลที่มีคุณค่าของแวดวงต่อไปในเบื้องหน้า

ขั้นตอนการติดต่อขอเป็นครอบครัวชุบย้อม กับ รับอุปการะเด็กกำพร้า

ในกรุงเทพฯ สามารถสื่อสารได้ที่ ฝ่ายครอบครัวอุปถัมภ์ ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม หรือที่ที่ประกอบการพัฒนาสังคมและสวัสดิการกทม.  ส่วนในต่างจังหวัด ติดต่อสื่อสารได้ที่ ที่ประกอบการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในจังหวัดที่ผู้ขออุปการะมีภูมิลำเนาอยู่

โดยต้องใช้ใบสำคัญดังนี้

  1. ทะเบียนสำมะโนครัว ( สำเนา )
  2. บัตรประจำตัว ( สำเนา )
  3. ทะเบียนสมรส หรือ ทะเบียนหย่า หากมี ( สำเนา )
  4. ใบรับรองแพทย์ ( โรงพยาบาลรัฐ )
  5. รูปถ่าย 2 นิ้วครึ่ง จำนวน 2 รูป

การติดตามการเลี้ยงดูเด็กลูกกำพร้าที่ขออุปการะ

   เมื่อสกุลอุปการะที่ได้รับอนุมัติ ให้นำเยาวชนไปอุปการะดูแล นักสังคมสงเคราะห์ที่ยอมรับผิดชอบจะตามเยี่ยมเด็กกำพร้าและครอบครัวเป็นระยะระยะ เพื่อที่จะตามและให้คำหารือชี้ช่องในการปรนนิบัติลูก เพื่อให้ลูกลูกกำพร้าและพี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างอย่างง่ายดาย โดยในปีแรกจะสำรวจแวะเยี่ยมทุก 2 เดือนต่อครั้ง ส่วนในปีถัดถัดไปจะเยี่ยมเยียนตามความพอเหมาะพอควรแต่ไม่น้อยกว่าปีละ 3 ครั้ง จนกว่าเยาวชนลูกกำพร้าที่เกื้อกูลจะมีอายุครบ 18 ปีสมบูรณ์ หรือเปลี่ยนวิธีการให้เด็กเป็นการขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม

กรรมวิธีการดำเนินงานของวงศ์วาน รับอุปการะเด็กกำพร้า               

  1. ผู้มีความจำนง รับอุปการะเด็กกำพร้า ที่อยู่ในความเลี้ยงดูของสถานส่งเสริมของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ

                1.)           รับเรื่องและสัมภาษณ์ข่าวสารเบื้องต้น พร้อมด้วยตรวจดูสิ่งพิมพ์และให้คำแนะลู่ทางต่างๆ

                2.)           ตรวจจับไปพบที่อยู่อาศัยและสอบความเป็นจริงเกี่ยวกับสภาพชีพและความพอดี ทั้งนี้อาจร้องของานพิมพ์เสริมในรายที่นำงานพิมพ์มาให้ครบถ้วน ประกอบการพินิจคุณสมบัติ

                3.)           มีดำเนินเรื่องร้องขออนุมัติคุณวุฒิต่ออธิบดี เพื่อให้ผู้ขออุดหนุนเยาวชนกำพร้า ที่มีสรรพคุณพอเหมาะไปพบเด็กที่สถานที่อนุกูล

                4.)           แจ้งให้ผู้ขอเกื้อกูลเยาวชนกำพร้าทราบ พร้อมด้วยมีการส่งจดหมายการเข้าพินิจลูกให้สถานอนุกูลที่สัมพันธ์เข้าใจ

                5.)           ผู้ร้องขอส่งเสียพบผู้เยาว์กำพร้าที่จำนงจะยอมรับให้ สถานอุปถัมภ์แจ้งประวัติส่วนตัวผู้เยาว์ที่พอเหมาะพอควรและอาจจะมอบให้ให้ไปให้ได้ แล้วดำเนินการร้องขออนุมัติอธิบดีให้เป็นผู้ความเกื้อกูลเยาวชนลูกกำพร้า

                6.)           บอกกล่าวให้ผู้อุปการะผู้เยาว์ลูกกำพร้าทราบ และส่งรายงานแจ้งสถานอนุเคราะห์ให้มอบเด็กแก่ผู้ขอ รับอุปการะเด็กกำพร้า

                7.)           ในเหตุที่ผู้ขอความเกื้อกูลเยาวชนกำพร้ามีคุณสมบัติไม่เหมาะสม จะแจ้งให้ผู้ขออุปถัมภ์ลูกปรากฏชัดเป็นคู่มือ

                8.)           ตามการดูแลผู้เยาว์ลูกกำพร้าในปีแรกเยี่ยมทุก 2 เดือน ในปีถัดไปไม่น้อยกว่าปีละ 3 ครั้ง ตามความเหมาะสม

 

  1. ผู้แสดงความมุ่งหวังขอความเกื้อกูลเยาวชนลูกกำพร้าถูกทิ้งขว้างซึ่งมีผู้เลี้ยงดูไว้ในครอบครัว

                1.)           รับเปลาะ และถามไถ่ข้อมูลดั้งเดิม พร้อมตรวจทานเอกสารและให้ข่าวคราวต่างๆ

                2.)           สอบทานเยี่ยมเยียนที่อยู่ และสอบความจริงเกี่ยวกับสภาพชีพตามความควร และความเป็นจริงว่าด้วยประวัติความเป็นมาของผู้เยาว์กำพร้า

                3.)           ความที่เยาวชนกำพร้าไม่มีงานพิมพ์เอกสารสำคัญเกี่ยวกับตนเอง และผู้รับคุณลูกกำพร้าไม่จำนงส่งเยาวชนเข้าสถานที่ช่วยเหลือเพื่อดำเนินกิจการเรื่องใบสำคัญของลูก  ให้ดำเนินเรื่องขออนุมัติอธิบดีให้เป็นผู้เกื้อกูลผู้เยาว์กำพร้า

                4.)           กรณีที่ลูกลูกกำพร้ามีชื่ออยู่ในระเบียนเรือนของผู้ขอแล้ว ให้ดำเนินเรื่องขออนุมัติอธิบดีให้เป็นผู้ความเกื้อกูลผู้เยาว์ลูกกำพร้าและขออนุมัตินำชื่อเยาวชนกำพร้าเข้าไปมีอยู่ในความเลี้ยงดูของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ

                5.)           สถานที่สงเคราะห์เพิ่มชื่อเสียงเรียงนามเด็กกำพร้าเข้าทะเบียนบ้าน พร้อมทั้งส่งเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเด็กกำพร้า

                6.)           ตามการอุปถัมภ์ค้ำชูลูกกำพร้า โดยในปีแรกต้องเยี่ยมเยียน 2 เดือน ต่อครั้ง และปีถัดไปไม่น้อยกว่าปีละ 3 ครั้ง ตามความพอควร

ขั้นตอนการดำเนินการขอให้ผู้เยาว์กำพร้าในสถานที่สนับสนุนของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการแบบครอบครัวอุปถัมภ์

ดิฉันจะเห็นได้ว่า ขั้นตอนการดำเนินการขอ รับอุปการะเด็กกำพร้า ไม่ยุงยากเลย แค่เพียงข้าพเจ้ามีใจคอที่คิดจะช่วยเหลือ เด็กเหล่านี้ก็จะได้ รับส่งเสีย แล้ว



เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : https://www.unicef.or.th/supportus/th

เงินบริจาค ลดหย่อนภาษี ได้เท่าไหร่

เงินบริจาค ลดหย่อนภาษี

ถึงเดือนมีนาคมแล้วใครมีสตางค์ได้เยอะ ๆ ก็เริ่มต้นจะหนาว ๆ กับการเสียภาษีอากรเงินได้รายปีการเสียภาษีอากรถึงแม้แบบกฎปฏิบัติบ่งชี้ชัดว่าบุคคลธรรมดาทั้งหมดมีกิจการงานต้องเสียภาษี ให้รัฐเพื่อใช้ในกิจจานุกิจของรัฐ ทั้งการนำไปใช้งาน การปรับปรุงหน่วยงานต่าง ๆ นำไปขยายประเทศด้านต่าง ๆ ถึงแม้จะมีเงินได้ลุเกณฑ์ หรือ ไม่ถึงเกณฑ์ก็ตามที เงินบริจาค ก็สามารถลดหย่อนภาษีได้อีกช่องทางหนึ่ง สำหรับผู้ที่มีอารมณ์ทางใจจะค้ำจุนคนอื่นก็อาจจะ นำเงินทองสละที่ได้เสียสละให้ที่ทำการต่าง ๆ เพื่อนำมาประกอบการลดหย่อนเงินภาษีได้ ตอนนี้คนอย่างดีฉันต้องเสียภาษี แต่จะทราบได้อย่างไรว่าต้องเสียเงินภาษีแบบอย่างไหน ปกติแล้ว รายการภาษีรายได้บุคคลธรรมดาจะมีอยู่ด้วยกัน สี่ แบบ คือ

 <a href=เงินบริจาค ลดหย่อนภาษี" width="500" height="410" />

เงินบริจาค ลดหย่อนภาษี

เงินภาษีรายได้บุคคลธรรมดา 90  หรือ ภงด.90 เป็นเงินภาษีที่จัดเก็บสำหรับผู้มีเงินได้ทุกลักษณะ นอกเหนือจากเงินเดือน เช่นอาทิ เงินปันผล ต้องยื่นแบบเสียภาษีอากร  ตั้งแต่ หนึ่ง ม.ค. ยัน 31 มีนาคม ของปีเงินภาษีที่ต้องจ่ายเช่น ได้รับเงินปี ห้าแปด ก็ต้องจ่ายภาษีอากรปี ห้าเก้า

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เก้าหนึ่ง กับ ภงด.91 จัดเก็บเพื่อผู้มีค่าตอบแทนรวมถึงเบี้ยบำนาญด้วย ต้องยื่นรูปแบบเสียภาษี  ตั้งแต่ หนึ่ง มกราคม จนถึง สามสิบเอ็ด มี.ค. ของปีเงินภาษีที่ต้องชำระ

ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา เก้าสาม กับ ภงด.93 เรียกเก็บสำหรับผู้มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีล่วงหน้า อย่างเช่น เงินรายได้จากค่าเช่า

เงินภาษีรายได้บุคคลธรรมดา เก้าสี่ หรือ ภงด.เก้าสี่ จัดเก็บสำหรับผู้มีรายได้เฉพาะเช่น รายรับจากวิชาชีพอิสระ รายได้จากธุรกิจการพาณิชย์ ต้องยื่นแบบเสียภาษีอากรตั้งแต่ 1 เดือนกรกฎาคม ลุ สามสิบ เดือนกันยายน ของปีเงินภาษี

แล้วผมจะลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่หากดิฉันสละเงินให้องค์กรต่าง ๆ เงินทองลดหย่อนภาษีหากผมบริจาคจะหักลดหย่อนได้ สอง แบบคือ

1.การบริจาคเงินทองเพื่อให้อุดหนุนการเรียนรู้ พร้อมด้วยสถาบันการหาความรู้ต่าง ๆ  อาจนำมาหักลดหย่อนได้สูงถึง 2 เท่าของเงินตราพึงจ่ายที่จำต้องจ่ายเงินภาษี แต่กลับ  2 เท่านี้จะต้องไม่เกิน สิบ % ของเงินที่จำเป็นจะต้องแบ่งจริงหลังหักค่าลดหย่อนทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเพียงนั้น พร้อมกับอีกอย่างคือต้องเป็นสถานที่เรียนตามรายชื่อของประกาศกรมสรรพากรเท่านั้น ในกรุงเทพฯ ตัวอย่างโรงเรียน อาทิ

ร.ร. ทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) โรงเรียน วัดโสมนัส ,รร. อนุบาลวัดปรินายก,โรงเรียน อนุบาลพิบูลเวศม์,รร. อนุบาลสามเสนฯ,รร. วัดพลับพลาชัย

เป็นต้น ถึงจะได้หักลดหย่อนภาษีเป็น 2 เท่า แต่ในเวลานี้มีเอกชน กับผู้คนน้อยรายที่ให้การช่วยเหลือ เงินบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษีด้วยวิธีนี้ เพราะกระบวนการ พร้อมกับเงือนไขค่อนข้างยาก ใกล้เคียงว่า เยอะ จึงหันไป บริจาคให้ ที่ทำงานกับองค์กรต่าง ๆ แทน

2.การสละทั่วไป กับองค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ตามจริงแต่จะต้องไม่เกิน สิบ เปอร์เซ็นต์ ของเงินที่จำต้องจ่ายจริงหลังหักค่าลดหย่อนทุกอย่างแล้วเพียงนั้น เช่นนี้ก็ต้องเป็นรายนามตามหมายประกาศของกรมสรรพากรเช่นกัน ตัวอย่างมูลนิธิต่าง ๆที่จะได้ส่วนลดเอามาหักได้อย่างเช่น องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (กองทุนฉุกเฉินสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติ) ,มูลนิธิเพื่อเด็กไทย ,มูลนิธิชัยพัฒนา,มูลนิธิช้างแห่งประเทศไทย เป็นต้น



เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : https://www.unicef.or.th/supportus/th/campaign/give_monthly_donation_th

มนุษย์เงินเดือนยืดหยุ่นเงินภาษีอะไรได้บ้าง

ลดหย่อนภาษี

ตามกฎหมายแล้ว บุคคลที่มีรายได้ทั่วๆไปมีหน้าที่ที่ต้องเสียภาษีอากรบุคคลธรรมดาตามที่ข้อบัญญัติบัญญัติ  เพื่อที่รัฐบาลจะได้นำเงินส่วนนี้มาใช้ในการดำเนินการและพัฒนาประเทศ เชื่อว่าหลายๆคนคงกำลังมองหาวิธีผ่อนปรนภาษีเพื่อที่จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินส่วนนี้ถ้วน ก่อนที่จะทำการลดหย่อนภาษีเราต้องมาเรียนรู้ก่อนว่าสิทธิในการลดหย่อนภาษีอากรนั้นมีอะไรบ้าง

ในทุกๆปีจะมีการคำนวณเงินได้ทั้งปีและภาษีอากรที่แต่ละบุคคลนั้นต้องชำระ อัตราภาษีจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่เงินได้สุทธิของแต่ละบุคคลในแต่ละปี ซึ่งอัตราภาษีอากรนั้นเราสามารถทำการลดหย่อนได้ สิทธิในการลดหย่อนภาษีนั้นก็มีให้เลือกหลายประเภท ได้แก่

 

 ลดหย่อนภาษี

ลดหย่อนภาษี

ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล

สามารถผ่อนปรนได้เต็มจำนวน 30,000 บาท สำหรับผู้ที่มีเงินได้ทุกคนสามารถใช้สิทธินี้ได้เต็มๆ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ

ค่าผ่อนปรนคู่ชีวิต

กรณีที่คู่สมรสที่ไม่มีเงินรายได้ หรือเลือกยื่นแบบแสดงรายการรวมกัน จะได้สิทธิลดหย่อนเพิ่มอีกจำนวน 30,000 บาท โดยมีเงื่อนไขคือ คู่สมรสต้องมีการจดทะเบียนที่ถูกต้องตามนิติ หรือคู่สมรสต้องไม่มีเงินได้ระหว่างปี

ค่าลดหย่อนบุตรธิดา และค่าลดหย่อนการศึกษาบุตร

บุตรตามกฎหมายหรือลูกเลี้ยงสามารถลดหย่อนได้คนละ 15,000 บาท ใช้หักสูงสุดได้ไม่เกิน 3 คน โดยบุตรต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี แต่ถ้าอายุระหว่าง 20 - 25 ปี ต้องเล่าเรียนในระดับ ปวส. ขึ้นไป สำหรับบุตรที่กำลังศึกษาภายในประเทศจะได้ค่าผ่อนปรนเพิ่มอีกคนละ 2,000 บาท โดยระดับการศึกษาจะคือชั้นอนุบาลจนถึงปริญญาเอก และบุตรต้องไม่มีรายได้ในปีภาษีนั้นๆเกิน 15,000 บาท จึงจะสามารถทำการผ่อนปรนได้

ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา

สำหรับผู้มีรายได้ที่มีพ่อแม่อายุตั้งแต่ 60 ปีเป็นต้นไป และมีเงินรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท โดยผู้มีเงินได้ที่จะใช้สิทธินี้ต้องเป็นบุตรที่แท้จริง หรือลูกบุญธรรมที่ถูกต้องตามข้อบังคับ โดยสามารถหักลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท แต่ถ้าพ่อแม่มีบุตรหลายคน สามารถใช้สิทธินี้ได้กับบุตรแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้สิทธิซ้ำกันได้

ค่าประกันลูกกตัญญูรู้คุณ

ผู้มีรายได้ที่ซื้อ “ประกันลูกรู้คุณ” ซึ่งเป็นประกันสุขภาพให้กับพ่อแม่ สามารถนำเบี้ยประกันส่วนนี้มาหักผ่อนปรนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท โดยที่บิดามารดาต้องมีอายุไม่ถึง 60 ปี และมีเงินรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท

ค่าอุปการะส่งเสียผู้พิการ

สำหรับคนที่ต้องเลี้ยงดูผู้ทุพพลภาพ ที่มีเงินได้ปีละไม่เกิน  30,000 บาท สามารถนำลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาท โดยผู้ส่งเสียและผู้ทุพพลภาพไม่จำเป็นต้องเป็นเครือญาติกันก็ได้ แต่ผู้พิการต้องมีบัตรคนพิการรับรองตามกฎหมายและผู้อุปการะต้องอยู่ในรายชื่อผู้ปกครองในบัตรผู้พิการนั้นด้วย จึงจะสามารถทำการผ่อนปรนได้

เงินบริจาคสาธารณกุศล

สามารถนำมาลดหย่อนได้เท่ากับปริมาณที่จ่ายจริง ยิ่งถ้าเป็นการบริจาคเงินเพื่อการศึกษาเล่าเรียนแล้ว สามารถนำมาหักผ่อนปรนได้ถึง 2 เท่า ของจำนวนที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินคงเหลือจากการหักค่าลดหย่อนอื่นๆและค่าใช้สอยแล้ว

กองทุนสำรองดำรงชีพ

เป็นเงินที่ลูกจ้างและนายจ้างตกลงสะสมร่วมกัน โดยลูกจ้างจะจ่ายเงินที่เรียกว่าเงินสะสม และนายจ้างจะจ่ายเงินอุดหนุนให้ลูกจ้างอีกในทุกๆเดือนรวมกัน บริษัทจะดำเนินงานเงินส่วนนี้โดยการนำไปลงทุนเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ และจะจ่ายคืนให้กับลูกจ้างเมื่อลาออกหรือเกษียณ เงินส่วนนี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เท่ากับจำนวนที่จ่ายจริงรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท

กองทุน RMF

เป็นเงินเงินทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ สนับสนุนการออมเงินระยะยาวเพื่อวัยเกษียณ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท

กองทุน LTF

เป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว เพื่อส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นจดทะเบียน สามารถนำไปผ่อนปรนภาษีตามที่จ่ายจริงได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท

ประกันเบี้ยบำนาญ

สามารถนำเบี้ยประกันมาผ่อนปรนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของรายได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และเงินออมเข้ากองทุนสำรองดำรงชีพหรือกองบำเหน็จบำนาญราชการ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท และประกันเบี้ยบำนาญที่นำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ ต้องมีช่วงเวลาในการคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีเป็นต้นไป

ประกันชีวิต

นำมาลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงได้ไม่เกิน 100,000 บาท โดยสัญญาประกันชีวิตต้องมีเวลาในการคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีเป็นต้นไป ในกรณีที่ไม่มีรายได้สามารถใช้ลดหย่อนได้เพียง 10,000 บาทเท่านั้น

ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านพักอาศัย

สำหรับผู้ที่มีภาระในการผ่อนบ้านหรือบ้านพักอาศัย สามารถนำดอกเบี้ยจากการกู้เงินไปลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงไม่เกิน 100,000 บาท ในกรณีที่มีผู้กู้ร่วมหลายคน สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ทุกคนแต่ต้องรวมกันแล้วไม่เกิน 100,000 บาท

จะเห็นว่าสิทธิในการลดหย่อนภาษีนั้นมีให้เลือกหลากหลายรายการ ก่อนทำการจ่ายภาษีทุกครั้งอย่าลืมที่จะตรวจเช็คกันก่อนนะคะว่าตัวคุณเองสามารถใช้สิทธิผ่อนปรนภาษีอะไรได้บ้าง เพื่อเป็นผลประโยชน์ของตัวคุณเอง จะได้เสียภาษีลดน้อยลงหรือได้เงินคืน มีเงินเหลือไปใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ มากขึ้น

 



เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : https://www.unicef.or.th/supportus/th/campaign/give_monthly_donation_th

เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า

สิทธิเด็ก

คำกล่าวที่ว่า เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า หรือ เด็กเปรียบเหมือนผ้าขาว เราต้องการให้ผ้านั้นเป็นสีอะไร ก็อยู่ที่ผู้ใหญ่จะระบายลงไป แต่ทว่าเด็กบางคน เขาเกิดมาในสังคมและสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน บ้างอาจจะเกินมาในสังคมที่ดี บ้างอาจจะเกิดมาในสังคมที่โหดร้าย นั้นทำให้มีการเกิดสิทธิเด็ก(Right of the Child)ขึ้นมา เพราะเด็กทุกคนที่เกิดมา ต่างต้องการความรักความเอาใจใส่จากทั้งพ่อและแม่ หรือกระทั้งผู้ใหญ่ในสังคม การที่จะให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ ผู้ใหญ่ก็ต้องปฎิบัติต่อเด็กเป็นเหมือนเป็นมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเด็กในที่นี่ หมายถึงบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า18ปี สิทธิเด็กนี้ต่างลงความเห็นว่าทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องตามกฏหมาย โดยการร่วมรวบรวมรายชื่อ ว่าให้วันที่ 20 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น ‘วันสิทธิเด็กสากล’ เพื่อให้ทุกคนให้ความสำคัญและใส่ใจกับสิทธิแก่เด็กกันมากขึ้น

 <b>สิทธิเด็ก</b>

สิทธิเด็ก

กลุ่มของสิทธิเด็กจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มด้วยกัน ได้แก่

  1. กลุ่มสิทธิทั่วไปที่เด็กควรได้รับ

เป็นกลุ่มของเด็กตามปกติ ที่ต้องได้รับการดูแลและส่งเสริมการพัฒนาให้เป็นไปตามวัย และจะต้องไม่มีการเลือกปฎิบัติโดยเด็ดขาด

  1. กลุ่มสิทธิสำหรับกลุ่มเด็กที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

คือกลุ่มเด็กที่ได้รับการทารุณ ได้รับความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางกายและทางจิตใจ ไปจนถึง เด็กที่เกี่ยวข้องกับการประพฤติตนด้วยความผิด ซึ่งกลไกของกฏหมายกลุ่มนี้ จะให้สิทธิในการตัดสิน และช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจ พฤติกรรมของเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสเปลี่ยนมุมมองความคิดและกลับมาใช้ชัวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข

          กฏหมายสิทธิเด็ก มีที่มาจากอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก(Convention on the Rights of the Child) ซื่งเป็นกฏหมายระหว่างประเทศที่ได้รับกำหนดให้เป็นแบบเช่นเดียวกันหมดในทุกๆรัฐภาคี โดยที่กำหนดเอาสิทธิพื้นฐานเอาไว้ 4 ประการ ได้แก่

  1. สิทธิการมีชีวิตรอด(Right of Survival) กล่าวคือ เด็กทุกคนเมื่อเกิดมา มีสิทธิที่จะใช้ชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ผิดปกติหรือไม่สมบูรณ์ก็ตาม โดยที่เด็กต้องถูกพาไปจดทะเบียนการเกิดตั้งแต่แรกเกิดและได้รับสิทธินี้ได้โดยปริยาย รวมไปถึงสิทธิที่จะได้รับการเลี้ยงดูทั้งทางร่างกาย(มีสิทธิที่จะได้รับอาหารในปริมาณที่เพียงพอและสะอาด) สภาพจิตใจ ตลอดจนบ้านพักอาศัยที่ต้องให้ความปลอดภัยความปลอดภัย โภชนาการและการบริการทางการแพทย์(การได้รับสิทธิวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ)
  2. สิทธิได้รับการปกป้องคุ้มครอง(Right of Protection) เป็นสิทธิที่เด็กจะได้รับการปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากการทารุณทุกรูปแบบ เช่น การทารุณทางกาย สภาพจิตใจ ทางเพศ และการใช้แรงงาน ที่ได้รับผลประโยชน์จากการทำงานของเด็ก ทำให้เด็กขาดการเรียนรู้และการพัฒนา ไม่ว่ามาจากจากบิดา มารดา หรือไม่ว่าจะมาจากผู้ใดก็ตาม อีกทั้งสิทธินี้ยังครอบคลุมไปถึงเด็กที่ลี้ภัยจากอันตรายเข้ามาในประเทศของรัฐภาคี ก็ต้องได้รับการคุ้มครองด้วยเช่นกัน
  3. สิทธิในด้านพัฒนาการ(Right of Development) เด็กทุกคนที่เกิดมา ได้จะรับสิทธิให้ได้รับความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม ตลอดจนความพึงพอใจและความสุข การมีกิจกรรมร่วมกันกับคนในครอบครัว หรือของโรงเรียน และเด็กต้องได้รับการศึกษาที่ดี ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ได้รับอาหารที่มีประโยชน์ที่เหมาะสมกับวัย ได้รับการเล่นสนุก การพักผ่อน และรับรู้ข่าวสารอย่างมีอิสระ
  4. สิทธิการมีส่วนร่วม(Right of Participation) เป็นสิทธิที่ให้ความสำคัญแก่เด็กเท่าเทียมกับผู้ใหญ่ คือ เด็กมีสิทธิแสดงออกทั้งด้านความคิดและการกระทำ สามารถเรียกร้องสิทธิในการคุ้มครองผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตนได้ และอนุญาตให้เด็กมีส่วนร่วมให้การตัดสินใจในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตนเองโดยความคิดนั้นต้องไม่กระทบกับสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย ในกฏหมายของเราเองก็เช่นเดียวกัน พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการสงเคราะห์คุ้มครองสวัสดิภาพและคุ้มครองการละเมิดสิทธิเด็กไว้หลายประการ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของเด็กตามที่กล่าวไปข้างต้น

การปกป้องคุ้มครองเด็ก กฏหมายได้ทำการกำหนดหน้าที่ของผู้เป็นผู้ปกครองและผู้ที่ญาติเอาไว้อย่างชัดเจน ผู้ใดที่ละเมิดข้อกำหนดเหล่านี้ย่อมมีโทษทั้งทางปกครองและทางอาญา โดยผู้ปกครองต้องไม่กระทำการดังต่อไปนี้

  • ทอดทิ้งเด็กไว้ในสถานที่รับเลี้ยง หรือ สถานพยาบาล หรือไว้กับบุคคลที่รับจ้างเลี้ยงเด็ก หรือ ในที่สาธารณะ หรือ สถานที่ใดๆก็ตามแต่โดยมีเจตนาที่จะไม่รับเด็กกลับมา
  • ละทิ้งเด็กไว้ในสถานที่ใดๆ โดยไม่จัดให้มีการป้องกันดูแลสวัสดิภาพ หรือ ให้การเลี้ยงดูที่เหมาะสม
  • จงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งที่จำเป็นแก่การใช้ชีวิต สุขอนามัยจนอาจทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของเด็ก
  • ปฏิบัติต่อเด็กในแบบที่เป็นการขัดขวางการเจริญเติบโต หรือ พัฒนาการของเด็ก
  • ปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการเลี้ยงดูโดยไม่ถูกต้อง

แนวทางการแก้ไขการละเมิดสิทธิของเด็ก คือการทำให้ครอบครัวเกิดความอบอุ่นโดยการให้ความรัก การดูแลที่ดี การปลูกฝังความคิดที่ดี จริยธรรมให้กับคนในสังคม เพราะเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน การที่ตัวเด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้นั้น ก็ต้องมีผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กๆได้ ฉะนั้นแล้วผู้ใหญ่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็ก เช่น การพูดจาอ่อนโยน ใช้หลักเหตุและผลในการพูดคุย ไม่ทอดทิ้ง ไม่ใช้อารมณ์ และพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเด็ก ให้กำลังใจเด็กที่กำลังประสบปัญหา ไม่ใช่แค่เฉพาะพ่อแม่ แต่ควรจะเป็นผู้ใหญ่ทุกคน และคนในสังคมเองก็ควรที่จะช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยสามารถแจ้งเบาะแสการทารุณเด็กให้กับเจ้าหน้าที่ทราบ

หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือเด็ก ในปัจจุบัน มีหน่วยงานช่วยเหลืออยู่มากมาย อาธิเช่น

  1. มูลนิธิคุ้มครองเด็ก จัดตั้งเพื่อให้เด็กได้รับการปกป้อง คุ้มกัน ช่วยเหลือ ฟื้นฟู และพัฒนาให้เด็กไทยที่ประสบภาวะทุกข์ยาก หรือถูกทอดทิ้งในสังคม
  2. มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เป็นอีกหนึ่งโครงการของมูลนิธิเด็ก ที่ได้ก่อตั้งเป็นมูลนิธิศูนย์พิทักษ์เด็ก เพื่อวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ ปกป้อง คุ้มครองเด็กที่ถูกละเมิดสิทธิตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี และคุ้มครองตั้งแต่เรื่องการถูกทำร้ายร่างกาย การถูกละเมิดทางเพศ การล่อลวงบังคับให้ค้าประเวณี การใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรมไม่ถูกต้อง
  3. มูลนิธิปวีณา หงสกุล เป็นมูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีด้อยโอกาส ที่ถูกสะเมิดสิทธิ ถูกทารุณในทุกรูปแบบ ไปจนถึงการช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ

และถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีกฏหมายข้อบังคับออกมาคุ้มครองเด็กมากขึ้นแล้ว แต่บุคคลสำคัญที่มีส่วนช่วยให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่ดีของชาติได้นั้น มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ครอบครัวนะคะ



ขอบคุณบทความจาก : https://www.unicef.or.th/supportus/th